วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นิทานอีสป

สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต


     ในป่าแห่งหนึ่งมีสุนัขจิ้งจอกอยู่ตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่า เมื่อสิงโตเดินผ่านเข้ามา มันก็เกิดตกใจ จนสิ้นสติเพราะมันนั้นไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน
ในเดือนต่อมามันได้พบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร บังเกิดตกใจขึ้นมาไม่น้อย เเต่ก็ยังสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ ไม่ถึงกับขาสั่นเป็นลมล้มพับไปอีกเหมือนอย่างคราวที่แล้ว
เดือนต่อมามันพบสิงโตเข้าโดยบังเอิญที่ทุ่งหญ้าชายป่า ในคราวนี้มันก็ไม่รู้สึกกลัว เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักทายกับสิงโตอีกด้วยว่า
“สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี


วัวสามสหาย



     ครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีวัวสามตัวได้ทำการตกลงสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนตายต่อกัน
ดังนั้นวัวทั้งสามตัวจึงมักจะออกไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา เเละคอยระวังภัยให้ซึ่งกันและกันด้วย
แต่ได้มีสิงโตจ้องจะหาทางที่จะกินวัวอยู่ สิงโตจึงเเอบไปบอกกับวัวตัวที่หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังท่าน
เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิดทำร้ายท่าน
เเล้วยุเเหย่วัวตัวที่สามในทำนองเดียวกัน
ต่อมาไม่นานวัวทั้งสามจึงเริ่มเกิดการเเตกคอกัน และเกิดความไม่ไว้ใจกันเเละกัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างออกไปหากินกันตามลำพัง จนสิงโตมีโอกาสที่จะจับกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะจะมาถึง

นิทานชาดก

ปูทอง



      ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชาวเมืองผู้ปกป้องสามีจากพวกโจรคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบึงใหญ่อยู่ใกล้ป่าหิมพานต์อยู่บึงหนึ่ง ในบึงมีปูทองตัวขนาดเท่าลานนวดข้าวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มันสามารถจับช้างที่มาดื่มน้ำกินเป็นอาหารได้ ฝูงช้างกลัวปูทองตัวนั้นมากจึงไม่กล้าลงไปในบึงนั้น
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของช้างพังเชือกหนึ่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากปูทอง ช้างพังนั้นได้ไปอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง จนพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้นจนมีช้างพังเชือกหนึ่งเป็นภรรยาแล้วจึงได้กลับมายังที่อยู่เดิม
วันหนึ่ง ช้างโพธิสัตว์ได้เข้าไปพูดกับพญาช้างผู้เป็นบิดาว่า ” พ่อ ฉันจักจับปูทอง ” พญาช้างห้ามไว้เพาะไม่เห็นด้วยเกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับลูกตน แต่สุดท้ายทนคำขอของลูกช้างไม่ได้ก็ต้องใจอ่อน ช้างโพธิสัตว์ได้เรียกประชุมฝูงช้างแล้วเดินไปใกล้บึงนั้นแล้วถามขึ้นว่า ” ท่านทั้งหลาย ปูทองจะจับช้างในเวลาลงไปหรือเวลาขึ้นจากน้ำ ” เหล่าช้างตอบว่า ปูทองมักจะจับช้างในเวลาขึ้นจากน้ำเท่านั้น ช้างโพธิสัตว์จึงบอกช้างทุกตัวลงไปในบึงดื่มน้ำให้อิ่มแล้วค่อยขึ้นมา ส่วนตนจะตามขึ้นมาทีหลัง ช้างทุกตัวได้ลงไปดื่มน้ำในบึงแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
ขณะที่ช้างโพธิสัตว์กำลังจะขึ้นจากน้ำตามหลังฝูงช้างก็ถูกปูทองหนีบ ๒ เท้าหลังไว้แน่น ช้างโพธิสัตว์พยายามดึงปูทองแต่ปูก็ไม่ขยับเขยื้อน กลับถูกปูดึงไปไว้ตรงปากพร้อมที่จะกิน ช้างโพธิสัตว์กลัวตายจึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า ” ข้าพเจ้าขึ้นไม่ได้ ติดก้ามปูแล้ว ” เท่านั้นเองฝูงช้างต่างร้องแตกตื่นวิ่งขี้เยี่ยวราดเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ช้างพังผู้ภรรยาก็กลัวตายกำลังจะวิ่งหนีไปด้วยเช่นกัน ถูกสามีอ้อนวอนว่า ” น้องรัก ปูทองมีนัยน์ตายาว มีหนังเป็นกระดูก ไม่มีขน ได้หนีบพี่ไว้แล้ว น้องอย่าทิ้งพี่ไปนะ ”
นางช้างจึงหันมาปลอบใจสามีว่า ” พี่ ฉันไม่ทิ้งพี่ไปหรอก พี่มีกำลังมากกว่าใคร ๆต้องเอาชนะปูได้แน่ พี่เป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าแผ่นดินแผ่นฟ้า ” แล้วหันมาพูดอ้อนวอนปูทองเป็นคาถาว่า
” ท่านเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐกว่าปูทั้งหลายในสมุทร
ในแม่น้ำคงคา และในแม่น้ำยมุนา ขอท่านจงปล่อยสามีของฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด ”
ปูทองได้ฟังนางช้างพังแล้วใจอ่อนยอมปล่อยเท้าช้างโพธิสัตว์ แต่หารู้ไม่ว่ากระดองของตนเองได้ถูกช้างโพธิสัตว์กระทืบจนพังทลายและเสียชีวิตไปเวลาต่อมา ช้างโพธิสัตว์ได้ลากปูทองขึ้นไปบนฝั่งเรียกฝูงช้างมาประชุมกันแล้วช่วยกันกระทืบปูทองจนละเอียดเป็นจุณในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ภรรยาที่ดีควรอยู่เคียงข้างสามีจนตราบเท่าชีวิต
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด ๆก็ตาม



คุณธรรมของหัวหน้า


ในกาลก่อน พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระญาติของพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระโพธิ์สัตว์ไปเกิดเป็นพญาลิง มีพละกำลังมากเท่า ช้าง ๕ เชือก มีลิงบริวารประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลจากนั้น มีต้นมะม่วงต้นใหญ่สูงเทียมยอดเขาต้นหนึ่ง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีผลอร่อย หวานหอมคล้ายผลไม้ทิพย์ มีผลโตเท่าหม้อ ผลมะม่วงส่วนหนึ่งหล่นลงบนบก อีกส่วนหนึ่งหล่นลงแม่น้ำ
เมื่อมะม่วงมีผล พญาลิงจะพาบริวารมาเก็บกินผลมะม่วงเป็นประจำ เพื่อป้องกันภัย  พญาลิงจึงให้บริวารเก็บผลมะม่วงจากกิ่งที่ยื่นไปในน้ำก่อนโดยไม่ให้มีผลเหลือเลยแม้แต่ผลเดียว แต่ทว่ามีผลมะม่วงสุกเหลืออยู่ลูกหนึ่งเพราะมดแดงไปทำรังครอบมันไว้จึงรอดพ้นจากสายตาของเหล่าลิงทั้งหลายไปได้ ผลมะม่วงสุกนั้นได้หล่นลงน้ำ ลอยไปติดข่ายของพระราชาเมืองพาราณสีที่ทรงให้ขึงไว้เพื่อทรงเล่นน้ำ
เมื่อพวกทหารได้กู้ข่ายขึ้นเห็นผลมะม่วงใหญ่โตขนาดนั้น จึงตรัสถามว่า “นี่มันผลอะไรกัน” ทหาร “ไม่ทราบพระเจ้าข้า” เมื่อนายพรานป่าเข้าเฝ้าและทูลว่าเป็นผลมะม่วงจึงทรงเฉือนผลมะม่วงชิมดู รสของผลมะม่วงสุกแผ่ซาบซ่านไปทั่วทั้งกาย ทำให้พระราชาติดพระทัยในรสของผลมะม่วง จึงถามถึงที่อยู่ของต้นมะม่วงนั้น เมื่อนายพรานกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้ต่อเรือและได้เสด็จทวนกระแสน้ำขึ้นไปตามทางที่พรานป่าบอก เมื่อถึงแล้วทรงรับสั่งให้จอดเรือไว้ที่แม่น้ำ ทรงเสวยมะม่วงสุกแล้วก็เข้าที่บรรทมที่โคนต้นมะม่วงนั้น ตกกลางคืนทหารก่อกองไฟทุกทิศ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเฝ้าเวรยาม
เมื่อตกดึกพวกมนุษย์หลับกันหมดแล้ว พญาลิงก็พาบริวารไต่กิ่งไม้มากินผลมะม่วงจากกิ่งนั้นไปกิ่งนี้ พระราชาทรงตื่นจากบรรทม ทรงเห็นฝูงลิงนั้นเข้าจึงปลุกให้ทหารตื่นขึ้นรับสั่งพลธนูว่า “พรุ่งนี้เช้า สูเจ้าจงยิงลิงฝูงนี้ อย่าให้มันหนีรอดไปได้ สักตัวเดียวนะ” พลธนูรับราชโองการแล้วรายล้อมต้นมะม่วง ฝูงลิงเห็นดังนั้นก็พากันกลัวตาย เข้าไปปรึกษาพญาลิง  “สูอย่ากลัวไปเลยเราจักหาวิธีช่วยชีวิตเจ้าเอง” ว่าแล้วพญาลิงก็วิ่งกระโดดจากกิ่งมะม่วงที่ชี้ตรงไปทางแม่น้ำระยะทางประมาณ ๑๐๐ คันธนูลงที่ต้นไม้ต้นหนึ่งเข้ากับต้นไม้นั้น อีกด้านหนึ่งผูกสะเอวของตน กระโดดกลับไปที่ต้นมะม่วงนั้น ปรากฎว่าเครือหวายถึงพอดี  ทำให้ไม่สามารถจะผูกกับต้นมะม่วงได้ จึงใช้มือทั้งสองยึดกิ่งมะม่วงเอาไว้แน่น แล้วบอกแก่บริวารว่า “สูเจ้าจงเหยียบหลังเรา ไต่หนีไปโดยเร็ว”
ฝูงลิงได้ขอขมาพญาลิงแล้วรีบไต่ไปโดยเร็ว สมัยนั้นพระเทวทัตเกิดเป็นลิงหนึ่งในฝูงลิงนั้นด้วย ได้โอกาสทำร้ายพญาลิงจึงไปเป็นตัวสุดท้าย ขึ้นไปอยู่บนยอดมะม่วงแล้วกระโดดลงมาเหยียบพญาลิงอย่างแรงแล้วรีบวิ่งไต่ไป สร้างความเจ็บปวดแก่พญาลิงเป็นอย่างมาก
พญาลิงได้บาดเจ็บอย่างมากไม่สามารถจะไปได้ยังคงยึดกิ่งไม้อยู่อย่างนั้นเอง พระราชาทอดพระเนตรเห็นทั้งหมด ทรงพอพระทัยในพญาลิงที่มีเมตตาต่อบริวารไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเมื่อสว่างแล้วจึงรับสั่งให้นำพญาลิงลงมาทำการรักษา บำรุงด้วยน้ำอ้อย ทาน้ำมันบนหลังให้มันนอนบนที่นอนแล้ว ตรัสว่า “เจ้าลิง เจ้าได้ทอดตัวเป็นสะพานให้ฝูงลิงข้ามไปได้ เจ้าเป็นอะไรกับฝูงลิงและฝูงลิงเป็นอะไรกับเจ้า” พญาลิงตอบว่า “มหาราชเจ้า เราเป็นพญาลิงปกครองฝูงลิงทั้งหมด เมื่อพวกเขาตกอยู่ในอันตรายเราจึงต้องนำความสุขมาให้แก่บริวารใต้ปกครองเป็นธรรมดาของกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ควรแสวงหาความสุขให้แก่รัฐ และทวยราษฎร์ทั่วกัน” เมื่อกล่าวจบก็สิ้นใจตาย
พระราชาตรัสเรียกอำมาตย์มาแล้วมอบให้ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพแก่พญาลิงให้เหมือนกับการถวายพระเพลิง แก่พระราชา และรับสั่งให้นางสนมประดับชุดห้อมล้อมพญาลิงไปป่าช้า อำมาตย์ไปประกอบพิธีเผาศพพญาลิงเสร็จแล้ว นำกระโหลกหัวพญาลิงไปเลี่ยมด้วยทองคำแลสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่ประตูพระราชวัง พระราชารับสั่งให้ทำการบูชาธาตุของลิงตลอด ๗ วัน บำเพ็ญเพียรอยู่ในโอวาทของพญาลิงตราบเท่าชั่วชีวิต

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เป็นผู้นำคนต้องรู้จักเสียสละความสุขเพื่อบริวารเป็นสำคัญ

นิทานพื้นบ้าน

เสือตีนโต


    มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีอาชีพทำไร่ ต่อมาวันหนึ่งทั้งสองก็ต่างไปช่วยกัน
ทำไร่เหมือนเช่นเคย ในวันนั้นทั้งคู่ไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินข้าวกันที่บ้าน
พอถึงช่วงบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีพูดกับภรรยาว่า
“นี่น้อง รีบไปหาข้าวปลาอาหารมากินด้วยกันเถอะ วันนี้พี่หิวมากๆเลย”
ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนที่ขี้เกียจ  ไม่ชอบทำงานอยู่เป็นทุน  จึงพลอยไม่ชอบหุงหาอาหารไปด้วย เมื่อได้ยินสามีพูดขึ้นมา
จึงเดินเข้าไปยังห้องครัว แล้วเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นว่ามีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้
จึงบอกกับสามีไปว่า
“ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวของเมื่อตอนเช้าก็ยังมีอยู่ ถ้าพี่หิวก็มากินได้เลย”
“เอางั้นก็ได้  น้องก็มากินพร้อมกันกับพี่เลยซิ” สามีพูด
ทั้งคู่ต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อย
ในขณเะนั้นเองได้มีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน “เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ” เพื่อนเอ่ยถาม
“กำลังจะกินข้าวกลางวัน  มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน” สามีได้กล่าวชวนเพื่อน
ที่มาเยี่ยม  ให้มาร่วมทานอาหารตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย
“แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่เลยทีเดียว”
เพื่อนคนนั้นก็ได้เข้ามานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงได้ตักข้าวที่ยังคงเหลืออยู่ในหม้อ
ให้กับแขกที่มา ข้าวที่หลืออยู่ในหม้อจึงหมดลง
ทั้งสามคนต่างก็กินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานของแต่ละคนก็ลดน้อยลงทีละนิด เผอิญข้าวในจาน
ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนนั้นยังทานไม่อิ่มจึงคอยจังหวะให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่เจ้าบ้านก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อน
จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ เป็นนัยๆ  จึงพูดขึ้นมาว่า
“นี่เมื่อวานนี้ เราเข้าไปในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราได้ไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนของมันโตขนาดจานข้าวนี่เลย”
เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าบ้านดู
เจ้าบ้านเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า
“เมื่อวานนี้ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย
เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ”
พูดไปพร้อมกับได้เอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน
การจะพูดบอกอะไรใครนั้น ในบางครั้งเราไม่สามารถที่จะพูดหรือบอกออกไปตรงๆไม่ได้
เพราะอาจจะเป็นการเสียมารยาท ผู้ฉลาดมักจะหาวิธีการบอกให้อีกฝ่ายหนึ่ง


หนูกัดหิน


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีอยู่ผู้เขาหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ชอบแต่ที่จะ
เที่ยว  กิน  เล่น   เลี้ยงเพื่อนฝูง   ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย    บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่
ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย    แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้    และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา    ส่งผลให้เศรษฐีได้
ไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่    เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล    สนุกสนานไปวันๆ    ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง     เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน
ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ     โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ     ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก    ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว     ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่งมาจนได้    แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก     แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง    เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
แล้วเผลอหลับไป    บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้    ได้กลิ่น
เนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง    มาันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง     แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา     จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว     แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา     แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย    รีบเดินทางกลับมาบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย    นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี    มีเพื่อนฝูงล้อมหน้า
ล้อมหลัง  แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้   นอนไม่หลับ   ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้   จึงมาเข้าฝันลูกว่า
“นั่นแหละลูกเอ๋ย   เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เมื่อยามลำบากยากจน    ใครเขาจะมานับถือเจ้า    พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่     พ่อแม่จะช่วยเจ้าเอง”
ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้     จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า     ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม   แล้วจะปรับปรุงตัว
จะตั้งใจทำมาหากิน     ก่อร่างสร้างตัว    เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ    จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก     เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน     ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง    ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้
พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก    เพื่อนที่เคยหนีหายไป    ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน    อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน    เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน  และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น    ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น    มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่ง
พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ    มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่   แท้ๆ    ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง”
บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น    บางคนก็ประสมโรงว่า
“เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก    มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย    เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด”
เพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า  ”ใช่ๆ”   กันคนละคำสองคำ
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า
“ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก    ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ    แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย    จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ”

หัวใจชายหนุ่ม

เรื่องหัวใจชายหนุ่ม



๑.ความเป็นมา
        หัวใจชายหนุ่ม เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า “รามจิตติ” เพื่อพระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “ ดุสิตสมิต” เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๔ ลักษณะการพระราชนิพนธ์เป็นรูปแบบของจดหมาย มีจำนวน ๑๘ ฉบับ รวมระยะเวลาที่ปรากฏตามจดหมายทั้งหมด ๑ ปี ๗ เดือน
๒.ประวัติผู้แต่ง
         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖
แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีที่ทรงครองราชย์ (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ ทรงพระปรีชาสามารถทั้งด้านการทหาร การปกครองการต่างประเทศ และโดยเฉาะด้านอักษรศาสตร์ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานประพันธ์หลายประเภททรงใช้พระราชนิพนธ์เป็นสื่อแสดงแนวพระราชดำริในเรื่องต่างๆ
๓.ลักษณะคำประพันธ์
          หัวใจชายหนุ่ม เป็นนวนิยายร้อยแก้วในรูปแบบของจดหมาย โดยมีข้อควรสังเกตสำหรับรูปแบบจดหมาย ทั้ง ๑๘ ฉบับในเรื่องดังนี้
 ๑.หัวจดหมาย ตั้งแต่ฉบับที่ ๑ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖- จนถึงฉบับสุดท้าย วันที่ ๓0 มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖- จะเห็นว่ามีการเว้นท้ายปี พ.ศ.ไว้                                  
 ๒.คำขึ้นต้นจดหมาย ทั้ง ๑๘ ฉบับ ใช้คำขึ้นต้นเหมือนกันหมด คือ “พ่อประเสริฐเพื่อนรัก”


๔.เนื้อเรื่่อง

                                 ตัวอย่าง   ฉบับที่ (๑๘)

                                                                                 บ้านเลขที่ 00 ถนนสี่พระยา

                                                     วันที่ ๑๓ เมษายน,พ.ศ.๒๔๖   

ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก.

          ฉันต้องรีบบอกข่าวดีมาให้ทราบ. แม่ไรได้ตกลงแต่งงานแล้วกับหลวงพิเศษผลพานิช,พ่อคามั่งมี, ซึ่งนำบทว่าเป็นโขคดีสำหรับหล่อน. เพราะอาจจะหวังได้ว่าจะได้มีความสุขต่อไปในชีวิต.จริงอยู่หลวงพิเศษนั้นรูปร่างไม่ใช่เทวดาถอดรูป,แต่จะหวังไว้ว่าคงจะเข้าลักษณะขุนช้าง,คือ”ถึงรูปชั่วใจช่วงเหมือนดวงเดือน.”แต่ถึงจะใจไม่ช่วงเขาก็พอมีเงินพอที่จะซื้อความสุขให้แม่อุไรได้.

           การที่แม่อุไรได้ผัวใหม่เป็นตัวเป็นตนเสียแล้วเช่นนี้ ทำให้ฉันเองรู้สึกความตะขิดตะขวางห่วงใย.และรู้สึกว่าอาจจะคิดหาคู่ใหม่ได้โดยไม่ต้องมีข้อควรรังเกียจรังงอนเลย.พ่อประเสริฐเป็นเพื่อนรักกันที่สนิทสนมที่สุด,เพราะฉะนั้นฉันขอบอกตรงๆ ว่า ฉันได้รักผู้หญิงอยู่รายหนึ่งแล้ว,ซึ่งฉันหวังใจว่าจะได้เป็นคู่ชีวิตต่อไปโดยยั่งยืนจริงจัง.หล่อนชื่อนางสาวศรีสมาน,แล้วเจ้าคุณพิสิฐกับพ่อของฉันก็ชอบกันมาก.ฉะนั้นพอพ่อประเสริฐกลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯก็เตรียมตัวไว้เป็นเพื่อนบ่าวที่เดียวเถิด!

จากเพื่อนผู้กำลังปลื้มใจ.

หลวงบริบาลบรมศักดิ์



บทวิเคราะห์

1.ตัวละคร

ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเสนอแนวคิดและสารต่างๆ โดยเสนอผ่านมุมมองของประพันธ์ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องและตัวละครเหล่านี้  ทำให้เรารู้จักตัวละครอย่างลึกซึ้ง

 2. ฉาก

    ในเรื่องนี้เป็นสมัยที่คนไทยโดยเฉพาะคนชั้นสูงเพิ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกใหม่ สภาพบ้านเมืองมีความเจริญแบบชาวตะวันตก

3.กลวิธีการแต่ง

 หัวใจของชายหนุ่ม เป็นนวนิยายขนาดสั้น นำเสนอในรูปแบบของจดหมาย

4. คุณค่าด้านปัญญาและความคิด

4.1 เป็นรอยต่อวัฒนธรรม

4.2 ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน

4.3 อย่าลืมตัว

4.4 การศึกษาดีช่วยให้ความคิดดี

4.5 การมีภรรยาคนเดียว

5 คุณค่าด้านความรู้

  นวนิยายเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมในเรื่องการแต่งการ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้หญิง เริ่มไว้ผมยาว ค่อยๆเลิกนุ่งโจงกระเบน และเราจากสังคมชั้นสูง

เวตาล

เนื้อหานิทานเวตาล
นิทานเวตาล (สันสกฤต: वेतालपञ्चविंशति เวตาลปัญจวิงศติ แปลว่า นิทานเวตาล 25 เรื่อง) เป็นวรรณกรรมสันสกฤตโบราณ ซึ่งเล่าขานโดยกวีชื่อ ศิวทาส และได้ถูกเล่าขานกันต่อมากว่า 2,500 ปีล่วงมาแล้ว โครงเรื่องหลักของนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องการโต้ตอบตอบปัญหาระหว่างพระวิกรมาทิตย์ กษัตริย์แห่งกรุงอุชชิยนี กับเวตาล ปีศาจที่มีร่างกายกึ่งมนุษย์กับค้างคาว ซึ่งจะนำเข้าไปสู่นิทานย่อยต่างๆ ที่แทรกอยู่ในเรื่องนี้รวม 25 เรื่อง ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับนิทานอาหรับราตรี หรือ "พันหนึ่งราตรี" ซึ่งเป็นนิทานชุดในซีกโลกอาหรับที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกชุดหนึ่ง


โครงเรื่อง
พระวิกรมาทิตย์หรือพระวิกรมเสน กษัตริย์ในตำนานของอินเดียโบราณ ได้รับปากกับโยคีชื่อ "ศานติศีล" จะไปนำตัวเวตาล อมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายศพมนุษย์ผสมค้างคาว ซึ่งห้อยหัวอยู่กับต้นอโศก มาให้แก่ฤๅษีเพื่อใช้ในพิธีบูชาเจ้าแม่กาลี โดยมีพระธรรมธวัชผู้เป็นโอรสติดตามไปด้วย เมื่อพระองค์จับตัวเวตาลได้แล้ว เวตาลก็จะพยายามยั่วให้พระวิกรมาทิตย์ตรัสออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ โดยการการเล่านิทานอุทาหรณ์ต่างๆ แล้วให้พระวิกรมาทิตย์ตัดสินเรื่องราวในนิทานเหล่านั้น ด้วยขัตติยะมานะของกษัตริย์ทำให้พระวิกรมาทิตย์อดไม่ได้ที่จะตรัสพระราชวิจารณ์เกี่ยวเรื่องราวในนิทานอยู่เสมอ ผลก็คือเวตาลได้ลอยกลับไปอยู่ที่ต้นอโศกอันเป็นที่อยู่ของตน ทำให้พระวิกรมาทิตย์จำต้องกลับไปจับเอาเวตาลกลับมาใหม่ทุกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ถึง 24 ครั้ง ในครั้งที่ 25 พระธรรมธวัชได้สะกิดเตือนมิให้พระวิกรมาทิตย์ตรัสคำใดๆ ออกมา พระวิกรมาทิตย์ก็ระงับใจไม่เอื้อนพระโอษฐ์ตรัสพระกระแสใดๆ ออกมา เวตาลจึงยอมให้พระองค์พาตนไปให้โยคีศานติศีลนั้นได้

ท้ายเรื่องของนิทานเวตาลมีอยู่ว่า ระหว่างทางที่พระวิกรมาทิตย์พาเวตาลไปหาโยคีนั้นเอง เวตาลก็ได้เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วโยคีศานติศีลมีความแค้นกับพระวิกรมาทิตย์อยู่ ซึ่งเป็นความแค้นที่ก่อโดยพระบิดาของพระวิกรมาทิตย์ จึง หวังที่จะปลง ชนม์ของพระองค์เสีย พร้อมกันนี้เวตาลก็แนะนำให้พระองค์ทำเป็นเชื่อฟังคำของโยคีนั้นแล้วหาทางฆ่าเสีย พระวิกรมาทิตย์ก็ได้ทำตามคำแนะนำดังกล่าว และรอดพ้นจากการทำร้ายของโยคีนั้นได้

นิทาน
นิทานย่อยซึ่งแทรกอยู่ในนิทานเวตาลทั้ง 25 เรื่องโดยสรุปมีดังนี้

เรื่องที่ 1 เรื่องของเจ้าชายวัชรมกุฏ กับพระสหายชื่อ พุทธิศรีระ
เรื่องที่ 2 เรื่องของนางมันทารวดี กับ พราหมณ์หนุ่ม 3 คน
เรื่องที่ 3 เรื่องของนกแก้วชื่อ วิทัคธจูฑามณี ของพระเจ้าวิกรมเกศริน กับนกขุนทองชื่อ โสมิกา ของเจ้าหญิงจันทรประภา
เรื่องที่ 4 เรื่องของพระเจ้าศูทรกะ กับพราหมณ์ผู้ซื่อสัตย์ชื่อ วีรวร
เรื่องที่ 5 เรื่องของนางโสมประภา กับการเลือกคู่ครอง
เรื่องที่ 6 เรื่องของวันฉลองพระแม่เคารี
เรื่องที่ 7 เรื่องของพระเจ้าจัณฑสิงห์ กับสัตตวศีล ผู้ซื่อสัตย์
เรื่องที่ 8 เรื่องของบุตรทั้ง 3 ของพราหมณ์วิษณุสวามิน
เรื่องที่ 9 เรื่องของการเลือกคู่ของเจ้าหญิงอนงครตี
เรื่องที่ 10 เรื่องของนางมัทนเสนา ผู้ซื่อสัตย์
เรื่องที่ 11 เรื่องของชายาทั้ง 3 ของพระเจ้าธรรมธวัช
เรื่องที่ 12 เรื่องของพระเจ้ายศเกตุ กับทีรฆทรรศิน ผู้ภักดี
เรื่องที่ 13 เรื่องของพราหมณ์ชื่อ หริสวามิน ผู้อาภัพ
เรื่องที่ 14 เรื่องของนางรัตนาวดี บุตรีเศรษฐี ผู้หลงรักโจร
เรื่องที่ 15 เรื่องของความรักของเจ้าหญิง ศศิประภา
เรื่องที่ 16 เรื่องของเจ้าชาย ชีมูตวาหน กับนาคชื่อ ศังขจูฑะ
เรื่องที่ 17 เรื่องของพระเจ้ายโศธน กับ นางอุนมาทินี บุตรีเศรษฐี
เรื่องที่ 18 เรื่องของพราหมณ์จันทรสวามิน กับฤๅษีปาศุบต
เรื่องที่ 19 เรื่องของภรรยาเศรษฐี กับธิดาชื่อ ธนวดี
เรื่องที่ 20 เรื่องของพระเจ้าจันทราวโลก กับรากษส
เรื่องที่ 21 เรื่องของนางอนงคมัญชรี
เรื่องที่ 22 เรื่องของบุตรพราหมณ์ทั้ง 4 ผู้ขมังเวทย์
เรื่องที่ 23 เรื่องของฤๅษีเฒ่า วามศิวะ ผู้อยากเป็นหนุ่ม
เรื่องที่ 24 เรื่องของนางจันทรวดี กับธิดาชื่อ ลาวัณยวดี กับเรื่องขนาดเท้าของนาง
เรื่องที่ 25 เรื่องของพระเจ้าติรวิกรมเสน กับเวตาล

นิทานเวตาลในภาคภาษาไทย
นิทานเรื่องเวตาลนี้ เดิมได้เรียบเรียงเป็นร้อยกรอง ชื่อ ลิลิตเพชรมงกุฎ โดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ถอดมาเพียงเรื่องแรกเท่านั้น (เรื่องพระวัชรมกุฎกับพุทธิศรีระ) ภายหลังพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หรือ น.ม.ส. ได้ทรงแปลจากฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษของริชาร์ด ฟรานซิส เบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากสำนวนแปลของ ซี.เอช. ทอว์นีย์ อีก 1 เรื่อง ทำให้ฉบับภาษาไทยของ น.ม.ส. มีนิทานเวตาลทั้งหมด 10 เรื่อง[1] ต่อมา ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา ได้แปลจากต้นฉบับเดิม ซึ่งเป็นอักษรเทวนาครี ภาษาสันสกฤต จนครบ 25 เรื่อง และภายหลังวรรณกรรมเรื่องนี้ก็ได้รับการแปลแปลงในหลากหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบการ์ตูนคอมมิคชื่อ "เวตาล" ซึ่งเป็นผลงานของ ภาณุ นทีนันท์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง จนกระทั่งเวตาลได้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี