วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นิทานพื้นบ้าน

เสือตีนโต


    มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีอาชีพทำไร่ ต่อมาวันหนึ่งทั้งสองก็ต่างไปช่วยกัน
ทำไร่เหมือนเช่นเคย ในวันนั้นทั้งคู่ไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินข้าวกันที่บ้าน
พอถึงช่วงบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีพูดกับภรรยาว่า
“นี่น้อง รีบไปหาข้าวปลาอาหารมากินด้วยกันเถอะ วันนี้พี่หิวมากๆเลย”
ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนที่ขี้เกียจ  ไม่ชอบทำงานอยู่เป็นทุน  จึงพลอยไม่ชอบหุงหาอาหารไปด้วย เมื่อได้ยินสามีพูดขึ้นมา
จึงเดินเข้าไปยังห้องครัว แล้วเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นว่ามีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้
จึงบอกกับสามีไปว่า
“ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวของเมื่อตอนเช้าก็ยังมีอยู่ ถ้าพี่หิวก็มากินได้เลย”
“เอางั้นก็ได้  น้องก็มากินพร้อมกันกับพี่เลยซิ” สามีพูด
ทั้งคู่ต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อย
ในขณเะนั้นเองได้มีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน “เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ” เพื่อนเอ่ยถาม
“กำลังจะกินข้าวกลางวัน  มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน” สามีได้กล่าวชวนเพื่อน
ที่มาเยี่ยม  ให้มาร่วมทานอาหารตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย
“แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่เลยทีเดียว”
เพื่อนคนนั้นก็ได้เข้ามานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงได้ตักข้าวที่ยังคงเหลืออยู่ในหม้อ
ให้กับแขกที่มา ข้าวที่หลืออยู่ในหม้อจึงหมดลง
ทั้งสามคนต่างก็กินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานของแต่ละคนก็ลดน้อยลงทีละนิด เผอิญข้าวในจาน
ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนนั้นยังทานไม่อิ่มจึงคอยจังหวะให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่เจ้าบ้านก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อน
จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าบ้านคดข้าวให้ เป็นนัยๆ  จึงพูดขึ้นมาว่า
“นี่เมื่อวานนี้ เราเข้าไปในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราได้ไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนของมันโตขนาดจานข้าวนี่เลย”
เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าบ้านดู
เจ้าบ้านเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า
“เมื่อวานนี้ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย
เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ”
พูดไปพร้อมกับได้เอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน
การจะพูดบอกอะไรใครนั้น ในบางครั้งเราไม่สามารถที่จะพูดหรือบอกออกไปตรงๆไม่ได้
เพราะอาจจะเป็นการเสียมารยาท ผู้ฉลาดมักจะหาวิธีการบอกให้อีกฝ่ายหนึ่ง


หนูกัดหิน


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีอยู่ผู้เขาหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ชอบแต่ที่จะ
เที่ยว  กิน  เล่น   เลี้ยงเพื่อนฝูง   ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย    บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่
ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย    แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้    และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา    ส่งผลให้เศรษฐีได้
ไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่    เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน
เที่ยวเตร่เสเพล    สนุกสนานไปวันๆ    ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง     เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน
ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ     โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า
ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ     ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก    ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว     ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่
ได้ตัวหนึ่งมาจนได้    แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก     แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง    เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
แล้วเผลอหลับไป    บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้    ได้กลิ่น
เนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง    มาันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง     แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย
ต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา     จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว     แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย
ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา     แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย    รีบเดินทางกลับมาบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย    นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี    มีเพื่อนฝูงล้อมหน้า
ล้อมหลัง  แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้   นอนไม่หลับ   ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้   จึงมาเข้าฝันลูกว่า
“นั่นแหละลูกเอ๋ย   เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง
เมื่อยามลำบากยากจน    ใครเขาจะมานับถือเจ้า    พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่     พ่อแม่จะช่วยเจ้าเอง”
ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้     จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า     ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม   แล้วจะปรับปรุงตัว
จะตั้งใจทำมาหากิน     ก่อร่างสร้างตัว    เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ    จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไป
เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก     เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน     ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง    ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้
พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก    เพื่อนที่เคยหนีหายไป    ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน    อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน    เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน  และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น    ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น    มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่ง
พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ    มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่   แท้ๆ    ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง”
บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น    บางคนก็ประสมโรงว่า
“เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก    มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย    เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด”
เพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า  ”ใช่ๆ”   กันคนละคำสองคำ
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า
“ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก    ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ    แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย    จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น